MarketTradeAbout usPromotionBlog
Login
English/THB
blue triangle

Blog

Get the latest trading news

AllMarket Trends / InsightTrading GuideCrypto 101CampaignAnnouncementFAQHow to use orbix

About us

Company ProfileExecutive SummaryAwards and CompliancesFinancial StatementsOur Team

Products

orbix AppProduct featuresCoin InfoTrading Conditions & Fees

Services

DownloadTerms & ConditionsPrivacy PolicyAML/CTPF PolicyCookie PolicyMarket Maker RulesTrading, Clearing & Settlement RulesListing and Delisting RulesSEC Check First

Support

Q&AAPI DocumentationWhistleblowing & ComplaintContactQuality of Service

About us

Products

Services

Support

Community

orbix Contact Center tel. (+66)20266107 (Everyday 08.00 - 19.00) | © 2017 - 2025 orbixtrade.com All rights reserved | Version. v1.17.0

We use cookies on the orbixtrade website to improve and personalize your browsing experience.
By clicking “Accept all” you agree to the use of cookies for analytical insights, and marketing, as described in our Cookies Notice.
If you disagree with the use of cookies for analytics and marketing, please click “Reject Optional Cookies”.
To manage your cookies preference, please click “Customize Cookies”.

การนับคลื่น Elliott Wave เทคนิคเทรดทำกำไรระยะยาว

By Digital Trader • Publish in Trading Guide • Jul 09,2021 • 4 min read

การนับคลื่น Elliott Wave เทคนิคเทรดทำกำไรระยะยาว

สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาการเทรดคริปโตโดยใช้ทฤษฎี Elliott Wave นั้น ในบทความนี้เราจะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ และที่มาที่ไปของการเกิดคลื่น Elliott Wave ตั้งเเต่จุดเริ่มต้น อีกทั้งยังไปทำความเข้าใจกับการนับคลื่น Elliott Wave เพื่อเป็นการปูพื้นฐานในการนับคลื่น Elliott Wave เทคนิคที่ใช้เทรดคริปโตเพื่อทำกำไรระยะยาว


การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 1 

หากสังเกตในมุมมองพฤติกรรมของผู้คนในตลาด เราจะเห็นได้ว่าการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 1 (Wave 1) จะเป็นจุดที่มีปริมาณการซื้อเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าอย่างมาก ส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวสูง ซึ่งคลื่นลูกที่ 1 จะเป็นจุดที่เจ้าตลาด หรือนักลงทุนรายใหญ่พยายามดันราคาของสินทรัพย์ขึ้นไปเพื่อล่อให้นักลงทุนรายย่อยเริ่มสนใจสินทรัพย์นั้นๆ แล้วเข้าลงทุนแต่ในคลื่นลูกที่ 1 นั้นมักไม่ค่อยมีนักลงทุนรายย่อยเข้าซื้อได้ทัน เนื่องจากยังไม่เกิดรูปเเบบของ Elliott Wave ให้นักลงทุนรายย่อยหรือนักเทคนิคสามารถวิเคราะห์ได้ อีกทั้งยังไม่มีใครรู้ได้ล่วงหน้าว่าเจ้าตลาดจะเข้าซื้อสินทรัพย์ใดในช่วงเวลาใด 

วิธีการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 1 ให้ดูจากปริมาณการซื้อว่าปริมาณการซื้อที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นๆ มีการปรับตัวสูงขึ้นจนผิดปกติหรือไม่ ถ้าปริมาณการซื้อสูงขึ้นจนผิดปกติเเสดงว่ามีเจ้าตลาด หรือนักลงทุนรายใหญ่เข้ามากวาดซื้อสินทรัพย์ในช่วงเวลาสั้นๆ นั่นเอง 

Img

การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 2

หลังจากนับคลื่น Elliott Wave และเกิดคลื่นลูกที่ 1 ขึ้นด้วยแรงซื้อที่มีปริมาณมาก ส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวสูงขึ้นมาที่โซนแนวต้าน และเริ่มเกิดการย่อตัวลง และเกิดคลื่นลูกที่ 2 ขึ้น (Wave 2) ซึ่งสาเหตุมาจากรายย่อยที่ได้กำไรจากการซื้อที่ราคาต่ำจะเริ่มมาทำการเก็บกำไร รวมไปถึงรายย่อยที่เคยขาดทุน หรือติดดอยอยู่ก็จะเริ่มมีการปิดกำไรเช่นเดียวกัน จึงส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวลงมานั่นเอง 

โดยการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 2 สังเกตได้จากการที่ราคาเริ่มเกิดแรงเทขาย และได้สร้างจุดกลับตัวจนทำให้เส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD เริ่มมีการตัดกันลงมา อีกทั้งในคลื่นลูกที่ 2 จะมีปริมาณการซื้อขายที่ต่ำลงมาอีกด้วย ซึ่งการกลับตัวลงมาของคลื่นลูกที่ 2 นี้จะต้องกลับตัวลงมาไม่ต่ำกว่าจุดเริ่มต้นที่เกิดคลื่นลูกที่ 1 เพราะถ้าหากเกิดการกลับตัวลงมาที่โซนนั้นจะไม่ถือว่าราคามีลักษณะเป็น Elliott Wave แต่จะถือว่าราคาเป็นการเคลื่อนตัวตามกรอบโซนแนวรับแนวต้านปกติ หรือการ Sideway นั่นเอง  

การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 3

หลังจากการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 2 และราคาเกิดการย่อตัวลงมาในคลื่นลูกที่ 2 ด้วยการเทขาย และการปิดทำกำไรของนักลงทุนรายย่อยแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนั้นคือการที่เจ้าตลาด หรือนักลงทุนรายใหญ่จะเริ่มเข้ามาซื้อเพื่อดันให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง โดยเจ้าตลาดจะเริ่มทำการรับซื้อจากรายย่อยที่เทขายในช่วงคลื่นลูกที่ 2 นั่นเอง ซึ่งหลังจากที่รายย่อยเริ่มหยุดการขายแล้ว เจ้าตลาดก็จะเริ่มดันราคาขึ้น และก่อให้เกิดคลื่นลูกที่ 3 (Wave 3) โดยเจ้าตลาดจะทำการกวาดซื้อทรัพย์สินนั้นๆ เพิ่ม แต่แรงซื้อ และปริมาณการซื้อที่เกิดขึ้นจะมีปริมาณมากกว่าคลื่นลูกที่ 1 จนทำให้ราคาสามารถปรับตัวสูงขึ้นจนทะลุแนวต้านอีกครั้ง เนื่องจากในครั้งนี้เจ้าจะต้องดันราคาให้เกิดเป็นเทรนด์ขาขึ้นที่ชัดเจน เพื่อเรียกความสนใจ และล่อให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อตามกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งคลื่นลูกที่ 3 นี้จะเป็นคลื่นที่ดึงดูดนักลงทุนทั่วไปให้มาสนใจสินทรัพย์นั้นๆ เพราะเมื่อราคาพุ่งสูงขึ้นมากๆ จะเหมาะเเก่การทำกำไร และช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สินทรัพย์นั้นเริ่มเป็นที่รู้จักจนทำให้มีผู้คนเริ่มเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมากขึ้นด้วย

การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 3 สังเกตได้จากการที่เส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD เริ่มมีการตัดกันขึ้นไปอีกครั้ง และ RSI จะเริ่มปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่โซน Overbought หรือมากกว่า 70 

Img

การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 4

เป็นคลื่นแห่งการพักตัวลง โดยเกิดขึ้นหลังจากการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 3 ราคาได้เกิดการปรับตัวสูงขึ้นมาสู่โซนแนวต้านซึ่งทำให้รายย่อยที่พอใจกับกำไรเริ่มมีการแบ่งปิดทำกำไร ส่งผลให้ราคาเริ่มย่อตัวลงอีกครั้งจนเกิดคลื่นลูกที่ 4 (Wave 4) แต่การพักตัวลงในคลื่นลูกที่ 4 นั้นจะมีความแตกต่างจากคลื่นลูกที่ 2 ตรงที่รายย่อยที่ปิดทำกำไรไปแล้วจะนำกำไรเข้าซื้อเพิ่ม รวมไปถึงนักลงทุนที่ให้ความสนใจในช่วงที่ราคาเกิดคลื่นลูกที่ 3 นั้น ก็จะนำเงินมาซื้อเพิ่มได้ด้วย ส่งผลให้ในคลื่นลูกที่ 4 มีปริมาณการซื้อขายเยอะกว่าคลื่นลูกที่ 3 นั่นเอง 

โดยการนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 4 สังเกตได้จากการที่ราคาเริ่มเกิดสัญญาณขาย และสัญญาณการพักตัวในระยะสั้น ซึ่งจะทำให้ RSI เกิดการปรับตัวลงมาต่ำกว่าโซน Oversold รวมไปถึงเส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD ที่จะเริ่มมีการตัดกันลงมาในระยะเวลาสั้นๆ อีกด้วย 

Img

การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 5

เป็นคลื่นสุดท้ายที่เจ้าตลาดจะเริ่มดันราคาไปพร้อมๆ กับรายย่อย ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการนับคลื่น Elliott Wave และพักตัวของคลื่นลูกที่ 4 โดยราคาจะเริ่มเกิดการปรับตัวสูงขึ้นไปอีกครั้ง แต่ปริมาณการซื้อขายจะเริ่มลดต่ำลงกว่าคลื่นลูกที่ 3 เนื่องจากในคลื่นลูกที่ 5 (Wave 5) เกิดจากการที่นักลงทุนรายย่อยเริ่มเข้ามาทำการซื้อกันเป็นส่วนมาก ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการทำให้เกิดคลื่นลูกที่ 3 ที่เจ้าสร้างขึ้นเพื่อดึงดูดในผู้คนเริ่มเข้ามาสนใจในทรัพย์สินนั้นๆ และในคลื่นลูกที่ 5 นี้จะเป็นคลื่นสุดท้ายก่อนที่เจ้าจะเก็บกำไรจากรายย่อยด้วยการเทขายลงมานั่นเอง

การนับคลื่น Elliott Wave ลูกที่ 5 สังเกตได้จากการที่ราคาเกิดการปรับตัวสูงขึ้นทำให้เส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD เริ่มมีการตัดกันขึ้น แต่ปริมาณการซื้อกลับลดลงต่ำกว่าปริมาณการซื้อในคลื่นลูกที่ 3


การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น A

การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น A จะเกิดหลังจากคลื่นลูกที่ 5 โดยหลังจากที่รายย่อยเริ่มทำการเข้าซื้อมากขึ้นจนเจ้าตลาดทำกำไรได้พอสมควร เจ้าจะค่อยๆ เริ่มทำการเทขายเพื่อปิดทำกำไรเป็นครั้งแรกด้วยปริมาณการขายที่มีปริมาณมาก ซึ่งจะทำให้ราคาเกิดการปรับตัวลดลงอย่างฉับพลันจนเกิดคลื่น A (Wave A) และถือเป็นการจบเทรนด์ขาขึ้นอย่างเป็นทางการนั่นเอง 

การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น A สังเกตได้จากปริมาณการเทขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน ส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวลง ซึ่งจะทำให้ RSI เกิดการปรับตัวลงมาต่ำกว่าโซน Oversold รวมไปถึงเส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD ที่จะเริ่มมีการตัดกันลงมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ในคลื่น A นี้ นักลงทุนรายย่อยที่ขาดทุน หรือติดดอยอยู่จะยังคงรอคอยอย่างมีความหวังที่ราคาจะเกิดการปรับตัวสูงขึ้นในเร็ววัน ซึ่งจะยังไม่ตัดขาดทุน หรือยอมขายออก


การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น B 

Elliott Wave คลื่น B เป็นคลื่นแห่งความหวัง ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากการเทขายอย่างฉับพลันของคลื่น A โดยเป็นการที่ราคาเกิดแรงซื้อคืนกลับที่โซนแนวรับ ส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น แต่การเกิดแรงซื้อคืนกลับในครั้งนี้เกิดจากแรงซื้อของนักลงทุนรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้ปริมาณการซื้อค่อนข้างที่จะต่ำ ถึงแม้ราคาจะขึ้นด้วยปริมาณการซื้อที่ต่ำมันก็สามารถทำให้ผู้คนในตลาดมีความวัง และความเชื่อมั่นมากพอที่จยังคงถือทรัพย์สินนั้นต่อไปได้ 

การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น B สังเกตได้จากราคาที่เริ่มมีสัญญาณการซื้อกลับที่โซนแนวรับซึ่งจะทำให้เส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD เริ่มมีการตัดกันขึ้นแม้จะมีปริมาณการซื้อที่ต่ำ


การนับคลื่น Elliott Wave คลื่น C

คลื่น Elliott Wave คลื่น C เป็นคลื่นลูกสุดท้ายที่ทำลายความหวัง และความเชื่อมั่นของผู้คนในตลาด ซึ่งจะเกิดหลังจากที่นักลงทุนรายย่อยนั้นได้ทำการซื้อคืนกลับในคลื่น B โดยจากนั้นเจ้าตลาดจะทำการเทขายลงมาอย่างหนักอีกครั้งด้วยปริมาณการขายที่มากจนทำให้ราคาสามารถปรับตัวลงทะลุโซนแนวรับใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ต่างจากในช่วงที่เกิดคลื่น A คือสภาวะของตลาดที่จะทำให้นักลงทุนรายย่อยหมดความหวังและหมดความเชื่อมั่นต่อตลาดอย่างมาก จนทำให้ผู้คนต่างพากันเทขายอย่างต่อเนื่อง 

โดยการนับคลื่น Elliott Wave คลื่น C สังเกตได้จากปริมาณการเทขายที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาเกิดการปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้เส้น Fast Moving Average เเละเส้น Slow Average ใน MACD ตัดกันลงมาในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยต้องยอมตัดขาดทุนเพื่อเทขายในทุกๆ ราคา


Elliott Wave คือการทำความเข้าใจพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาด ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจถึงพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการซื้อขายได้มากยิ่งขึ้น และการนับคลื่น Elliott Wave ถือเป็นอีกหนึ่งหลักการในการเทรดที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำเครื่องมือ หรือตัวชี้วัดต่างๆ มาประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลาย เเต่ก็ยังมีผู้คนอีกมากที่นำการนับคลื่น Elliott Wave ไปนับโดยไม่เข้าใจที่มาที่ไปของเเต่ละคลื่นอย่างถ่องเเท้ จึงทำให้เกิดความสับสนได้อย่างง่ายดาย จนทำให้ไม่สามารถทำกำไรได้จากเทคนิค การนับคลื่น Elliott Wave ได้นั่นเอง

Next article

Fibonacci เทรดคริปโต

Digital Trader

Content Creator

Digital Trader ผมวิเคราะห์ตามหลักสถิติประยุกต์ หลักการของแท่งเทียน และประสบการณ์ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา

Relate Post

การนับคลื่น Elliott Wave เทคนิคเทรดทำกำไรระยะยาว
Trading Guide

การนับคลื่น Elliott Wave เทคนิคเทรดทำกำไรระยะยาว

สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาการเทรดคริปโตโดยใช้ทฤษฎี Elliott Wave นั้น ในบทความนี้เราจะพามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ และที่มาที่ไปของการเกิดคลื่น Elliott Wave

Digital Trader

Jul 09,2021

4 min

Dow Theory ทฤษฎีอมตะใช้เทรดคริปโต
Trading Guide

Dow Theory ทฤษฎีอมตะใช้เทรดคริปโต

Dow Theory หรือ ทฤษฎีดาวนั้น มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี ถูกคิดค้นโดยบุคคลที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิคของฝั่งตะวันตกนามว่า C

Digital Trader

Jun 25,2021

4 min